เมื่อเราอายุเพิ่มขึ้นคอลลาเจนในชั้นผิวจะลดลง
สาเหตุของริ้วรอย ผิวเหี่ยวย่น และลดความยืดหยุ่นของน้ำที่ข้อต่อสาเหตุของอาการปวดขา พร้อมยังส่งผลต่อเล็บ ผม ที่ไม่เหมือนเดิม แก้ไขได้ด้วยการบริโภคคอลลาเจนในรูปแบบของอาหารในมื้อประจำวัน หรืออีกทางเลือกคือบริโภคคอลลาเจนที่สกัดมาแล้วเพื่อการซ่อมแซม ฟื้นฟูผิวโดยที่ไม่ต้องได้รับแคลอรี่อาหารด้านอื่นที่เกินความจำเป็น ........
เนื่องจาก คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลใหญ่ ร่างกายสามารถดูดซึมได้ยาก จึงจำเป็นต้องผ่านกระบวนการให้ความร้อน และย่อยสลายด้วยเอนไซม์เพื่อให้ได้ คอลลาเจน ที่มีขนาดโมเลกุลเล็กลงเพื่อที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทางลำไส้เล็กใน รูปของไดเปปไทด์ ไตรเปปไทด์ หรือกรดอะมิโน เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสูด โดย คอลลาเจน ที่ผ่านกระบวนการให้ความร้อนและย่อยสลายด้วยเอนไซม์มีด้วยกัน 3 ประเภทคือคอลลาเจน ไฮโดรไลเซท, คอลลาเจน เปปไทด์ และ คอลลาเจน ไตรเปปไทด์
ความแตกต่าง
คอลลาเจน ไฮโดรไลเซท 3,000-5,000 ดาลตัน
คอลลาเจน เปปไทด์ น้อยกว่า 2,000 ดาลตัน
คอลลาเจน ไตรเปปไทด์ 1,500 ดาลตัน
เมื่อทำการเปรียบเทียบความแตกต่างของ คอลลาเจน ทั้ง 3 ประเภทจะพบว่า ---คอลลาเจน ไตรเปปไทด์--- สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายสามารถได้ดีที่ สุด เนื่องจากมีขนาดโมเลกุลเล็กและจำนวนกรดอะมิโนน้อย รองลงมาคือ คอลลาเจน เปปไทด์ และ คอลลาเจน ไฮโดรไลเซท ตามลำดับ แต่หลายๆ คนอาจสงสัยว่าการบริโภคคอลลาเจนปลอดภัยจริงหรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและ ยาจึงได้กำหนดปริมาณ คอลลาเจน ที่ควรบริโภคต่อวันไม่เกิน 10 กรัม สำหรับ คอลลาเจน ไฮโดรไลเซท และไม่เกิน 3 กรัม สำหรับ คอลลาเจน เปปไทด์ และคอลลาเจน ไตรเปปไทด์ นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรฐัอเมริกา ได้จัดให้ผลิตภัณฑ์คอลลาเจน เป็นสารหรือส่วนประกอบที่สามารถใส่ในอาหารได้อย่างปลอดภัยไม่เป็นอันตรายต่อ สุขภาพ โดยได้รับ GRAS (Generally recognize as safe) ซึ่งรับรองโดยผู้เชี่ยวชาญ